Development

อยากสร้าง Mobile App จะเลือกใช้โปรแกรมเขียน Mobile App ด้วยอะไรดี

Pirush Prechathavanich
Pirush Prechathavanich
Development Team
อยากสร้าง Mobile App จะเลือกใช้โปรแกรมเขียน Mobile App ด้วยอะไรดี

ถ้าให้พูดถึงระบบการใช้งานของโทรศัพท์มือถือในปัจจุบัน แน่นอนว่าหลาย ๆ คนจะนึกถึง 2 ระบบที่เป็นผู้นำในตลาดอยู่นั่นก็คือ Android และ IOS ซึ่งทั้ง 2 ระบบนี้ก็จะมีภาษา Programming ที่ใช้ในการพัฒนา Mobile App หลัก ๆ คือ Java และ Swift (& Objective-C) 

แต่นอกจาก 2 โปรแกรมนี้แล้ว ยังมีโปรแกรมอื่น ๆ อีก ที่นำมาใช้เพื่อพัฒนา Mobile App ทั้งแบบ Hybrid และข้าม Platform ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกใช้โปรแกรมเขียน Mobile App ด้วยอะไรดี 

โดยปัจจัยที่จะเลือกใช้โปรแกรมต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ หรือความต้องการของแต่ละคนที่ต่างกันออกไป เช่น ทักษะความสามารถของทีมที่พัฒนา , ความต้องการที่เฉพาะเจาะจงของ App และหมวดหมู่ของ App , กลุ่มเป้าหมายของผู้ใช้งาน App เป็นต้น 

การเลือกภาษามีความสำคัญอย่างไร?

การเลือกภาษาให้เหมาะสมกับการจะพัฒนาแต่ละโปรเจกต์นั้นมีความสำคัญกับองค์กรในหลายด้าน ซึ่งถ้าหาเลือกภาษาผิด หรือไม่เหมาะสมอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ และความน่าเชื่อถือขององค์กรให้ลกน้อยลง และอาจส่งผลถึงความรวดเร็ว ฟีเจอร์ต่าง ๆ รวมไปถึงความสามารถในการ Maintain ที่ไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ตั้งแต่แรก

จะเริ่มเขียน Mobile App ด้วยอะไรดี?

เนื่องจากมีโปรแกรมที่ใช้ในการเขียน Mobile App หลากหลายแบบให้เลือกใช้มากมายจนอาจจะเลือกไม่ถูกว่าจะเขียน Mobile App ด้วยอะไรดี เพราะอย่างนั้นเราจะมาแนะนำ 6 ภาษาโปรแกรม ที่จะมาเป็นตัวช่วยในการเขียน มีดังนี้

1. Java

Java เป็นภาษาโปรแกรมที่ถูกใช้มาอย่างยาวนานในการพัฒนา Application และแทบจะเป็นโปรแกรมหลัก ๆ ที่ใช้สำหรับพัฒนา Android App เลยก็ว่าได้ ถึงแม้ในปัจจุบันจะเริ่มมีการใช้ภาษา C++ มากขึ้นก็ตาม แต่คาดการณ์ว่า Java ก็จะยังถูกใช้งานไปอีกหลายปี

จุดเด่นของ Java ก็คือ สามารถใช้พัฒนา Application ข้าม Platform ได้ หมายความว่า เราสามารถเขียน App ใน Java และ Compile App ของเรา เพื่อมา Run บน IOS หรือโทรศัพท์ Platform ได้ 

2. Swift

ภาษา Swift ถูกเผยแพร่ครั้งแรกเมื่อปี 2014 โดย Apple และเริ่มได้รับความนิยมขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน Swift สามารถใช้บน Linux ได้แล้ว และก็มีโอกาสที่ Google อาจจะใช้ Swift ในการพัฒนา Android อีกด้วย ซึ่งถ้าหากมีการใช้ Swift ได้ในการพัฒนาทั้ง Android , iOS และ OSX ได้แล้ว Swift จะเป็นภาษาที่มีการใช้งานในการพัฒนา Mobile App มากที่สุดภาษาหนึ่ง

Swift เป็นภาษาที่เรียนรู้ได้ง่าย และยังใช้งานกับ Xcode ได้ ซึ่งนั่นหมายความว่า เราสามารถที่จะเขียน Code และดู Output บนหน้าจอได้เลยเหมือนกับภาษา Script อื่น ๆ

3. Python

Python เป็นภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกออกแบบมาให้เป็นภาษาสคริปต์ที่อ่านง่าย ตัดความซับซ้อนของโครงสร้าง และไวยากรณ์ของภาษาออกไป และในส่วนของการแปลงชุดคำสั่ง Python จะทำการแปลชุดคำสั่งทีละบรรทัด เพื่อทำการป้อนเข้าสู่หน่วยประมวลผลให้กับคอมพิวเตอร์ตามที่เราต้องการ 

นอกจากนี้ Python ยังสามารถนำไปใช้ในการเขียนโปรแกรมได้อีกหลากหลายประเภท ไม่จำเป็นว่าต้องทำเฉพาะงานใดงานหนึ่ง ทำให้มีการนำไปใช้กันอย่างแพร่หลายในหลายองค์กร เช่น NASA , Youtube เป็นต้น

4. Flutter

เป็นโปรแกรมที่ใช้เขียน Mobile App โดยสามารถทำงานข้าม Platform ได้ทั้ง IOS และ Android ในเวลาเดียวกัน โดยภาษาที่ใช้ในการเขียน Flutter คือภาษา “Dart” ซึ่งพัฒนาโดย Google เช่นเดียวกับตัวโปรแกรม

โดยข้อดีของ Flutter คือ แสดงผลภายในไม่กี่นาที และแก้ข้อบกพร่องได้อย่างรวดเร็ว แสดง Widget ที่สวยงามในตัว และสร้างการเคลื่อนไหวอย่างหลากหลาย

5. C#

C# ถูกคิดค้นโดยสถาปนิกของ Microsoft และได้ถูกเผยแพร่ในปี 2000 ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้งานได้หลากหลายมากที่สุดภาษาหนึ่งจนถึงปัจจุบัน

C# เป็นอีกหนึ่งภาษาที่หลายคนใช้มากที่สุดในการพัฒนา Mobile App ซึ่ง C# สามารถเขียนได้ทั้ง IOS , Android และ Windows Phone App โดยการสนับสนุนของเครื่องมือ Xamarin และ Unity games engine 

6. C++

C++ เป็นอีกหนึ่งภาษาที่มีประสิทธิภาพที่ดี เป็นภาษาที่อยู่ใน Ecosystem ของ Microsoft ด้วย Visual Studio ด้วยเหตุนี้จึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีปัญหาสำหรับ Developers , Development Tools และระบบ Documentation ที่ดี

ในปัจจุบัน C++ ก็เริ่มที่จะได้รับความนิยมในการนำมาพัฒนา Mobile App เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับ Java แล้ว C++ ดูเหมือนจะได้เปรียบกว่าหลังจากที่ Google ได้เพิ่มการสนับสนุน Native development Kit (NDK) ซึ่ง NDK ก็สนับสนุน C/C++ ด้วยเช่นกันในการพัฒนา Android ซึ่งทำให้สามารถพัฒนา Code ที่มีประสิทธิภาพกว่าได้

โปรแกรม, Framework และภาษาที่ใช้สร้างแอปฯ ที่นิยมมีอะไรบ้าง?

อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่า ในปัจจุบันมีโปรแกรมเขียน Mobile App ให้ได้เลือกใช้อยู่หลากหลายโปรแกรม แต่มีอยู่ 2 โปรแกรมที่กำลังได้รับความนิยมพอ ๆ กัน นั่นก็คือ Flutter และ React Native แล้ว 2 โปรแกรมนี้มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง และอาจจะทำให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าจะเขียน Mobile App ด้วยอะไรดี

การนำมาใช้

  • Flutter ได้รับความสนใจค่อนข้างมาก ซึ่งบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Alibaba ก็ได้มีการนำโปรแกรมนี้มาใช้กับหนึ่งในแอพมือถือเช่นกัน นอกจากนี้ Google ad ก็ยังได้รับการพัฒนาผ่านการใช้ Flutter ด้วยเช่นกัน
  • React Native ก็ถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางไม่แพ้กัน ซึ่งในปัจจุบันได้มีบริษัทระดับโลกหลายบริษัทเลือกที่จะใช้โปรแกรมนี้ ไม่ว่าจะเป็น Facebook , Instagram , Uber Eats , Tesla และอีกมากมาย เพื่อใช้ในการสร้าง App ขึ้นมา

ประสิทธิภาพการทำงาน

ในเรื่องของประสิทธิภาพในการทำงาน ความคิดเห็นของแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป แต่ส่วนใหญ่แล้ว เลือกให้ Flutter มีประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีกว่า

เหตุผลที่หลายคนเลือกให้ Flutter มีประสิทธิภาพในการทำงานดีกว่า React Native นั่นอาจจะมาจาก Flutter ไม่มี JavaScript ที่เป็นตัวเชื่อมในการติดต่อกับ Native component ที่มีอยู่ใน React Native และเพราะเหตุจึงทำให้การทำงานของ Flutter ดีกว่า

ลิสต์ Program/ Language ในการเขียน Mobile App ที่นิยม

หลังจากที่ไดพูดถึงเรื่องเขียน Mobile App ด้วยอะไรดีไปแล้ว ในส่วนนี้เราจะมาพูดถึงคุณสมบัติ และจุดเด่นต่าง ๆ ของโปรแกรมต่าง ๆ ที่กำลังเป็นที่นิยม โดยมีดังนี้

1. Flutter

จุดเด่นคือ เป็นโปรแกรมที่มีระบบ Hot Reload เมื่อมีการทดสอบ , การสร้าง หรือการกระทำต่าง ๆ กับ UI จะต้องมีการ Reload ทุกครั้ง เพื่อให้หน้า UI ทำการ Update ซึ่งระบบ Hot Reload นั้นจะเข้ามาช่วยในเรื่องของการ Reload โดยที่จุดเด่นของระบบนี้คือ การใช้ระยะเวลาในการ Reload น้อยลงให้เหลือเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น และทำให้การพัฒนา UI ของ Application ให้มีความรวดเร็วมากขึ้น

ข้อดี

  • ลดระยะเวลาในการ Reload ให้เหลือเพียงเสี้ยววินาที
  • นอกจากปุ่ม Hot Reload ยังมีตัวควบคุมที่สามาถปรับแต่งได้ตามความต้องการ
  • มีระบบโปรแกรมอ่านหน้าจอ สำหรับผู้ที่บกพร่องทางสายตา
  • มีการ Render ที่รวดเร็ว ทำให้สร้างภาพ และแบบจำลอง 2D ได้ไวขึ้น
  • สามารถสร้างความแตกต่างระหว่าง Android และ IOS ได้ในการพัฒนาเพียงครั้งเดียว

2. React Native

จุดเด่นคือ สามารถแสดงผล UI ได้ทั้งแพลตฟอร์ม IOS และ Android อีกทั้งยังเป็นโปรแกรมที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สะดวกสบายในการใช้งานในระยะยาว และเนื่องจากที่ React Native ใช้ภาษา Javascript เป็นหลักในการเขียนโปรแกรมอยู่แล้ว จึงทำให้นักพัฒนาที่มีความรู้ ความคุ้นเคยกับ Javascript , CSS Syntax สามารถที่จะทำความเข้าใจ และใช้เวลาศึกษาเรียนรู้ได้ไม่ยาก 

ข้อดี

  • สามารถออกแบบ UI ได้ง่าย รวมไปถึงการตกแต่ง UI ที่ใช้คำสั่งคล้ายกับ CSS มาก
  • มี Module มากมาย ทำให้รองรับการใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ
  • การเพิ่ม Module ไปยัง Project Android และ IOS เพียงแค่ใช้คำสั่ง React-Native Link ก็สามารถจะเพิ่มเข้าไปใน Project เราได้อัตโนมัติ
  • ประสิทธิภาพในการทำงาน มีความเทียบเท่ากับการเขียนแบบ Native
  • สามารถพัฒนา Application ได้รวดเร็วมากขึ้น

3. Java

จุดเด่นคือ เป็นภาษาที่ง่ายต่อการศึกษา และพัฒนาโปรแกรม นอกจากนี้ Java ยังเป็นชุดคำสั่งที่เป็นแพ็คเกจในการจัดการกับโปรโตคอล TCP/IP ซึ่งทำให้สามารถพัฒนาโปรแกรมผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้สะดวก

ข้อดี

  • สามารถใช้งานได้ทุก Platform โดยที่ไม่จำเป็นต้องแก้ไข หรือดัดแปลงใด ๆ
  • Java เป็นภาษาที่รองรับการเขียนเชิงวัตถุแบบสมบูรณ์ ซึ่งทำให้สามารถเขียนงานที่ซับซ้อนได้เป็นอย่างดี
  • มีความซับซ้อนน้อยกว่าภาษา C นอกจากนี้ยังใช้ Code น้อยกว่าแต่สามารถทำงานได้เหมือนกัน ซึ่งจะทำให้ช่วยลดข้อผิดพลาดในการเขียนโปรแกรมได้ด้วย
  • สามารถแจ้งข้อผิดพลาดได้ทั้งตอน Compile และช่วงเวลาใช้โปรแกรม ซึ่งจะทำให้การแก้ไข Bug ทำได้ง่ายกว่าการเขียนภาษาแบบอื่นๆ

หลักการเลือก Technology หรือ Tech Stack ในการเขียนแอปฯ

การจะพัฒนา App มีวิธีอยู่หลากหลายให้ได้เลือก โดยแต่ละวิธีก็มีข้อดี ข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป ในบางวิธีอาจมีค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงมากนัก แต่ก็อาจจะต้องแลกกับประสิทธิภาพที่ไม่ได้ดีเท่าที่ควร หรือบางวิธีเป็นวิธีที่มีขั้นตอนค่อนข้างซับซ้อน มีระบบไม่สเถียร เพราะอย่างนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีหลักการเลือกดังนี้

ฝั่ง Front-End

  • Native วิธีนี้จะทำให้ปรับแต่งได้สูงสุด แอปเร็ว และมีประสิทธิภาพมากที่สุด แต่เป็นวิธีที่แพงที่สุด นอกจากนี้ยังต้องทำแยกแต่ละ Platform ไม่สามารถ Reuse Code ระหว่างกันได้
  • Cross-Platform เป็นวิธีที่มีค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก แต่ประสิทธิภาพก็อาจจะไม่สูงเท่าแบบแรก โดยวิธีนี้จะเป็นเทคโนโลยีที่มี Code บางส่วนแชร์กันอยู่ แต่ก็ยังนำไปรันเป็น Native ได้
  • Hybrid วิธีนี้จะมีราคาถูกที่สุด แต่แอปที่ออกมาก็อาจจะมีคุณภาพที่ต่ำ โดยจะเป็นวิธีที่ใช้เทคโนโลยีของ Web และมา Install ผ่าน Native Wrapper 

ฝั่ง Back-End

ในฝั่งนี้ Server จะมีผลอย่างมากกับประสิทธิภาพแอป และการขยายจำนวนผู้ใช้ที่แอปสามารถรองรับได้ ซึ่งก่อนจะเริ่มเขียน code มีสิ่งที่ต้องคำนึงถึงดังนี้

  • ภาษาในการเขียน ซึ่งแต่ละภาษาจะมี Framework ที่ช่วยในการเขียนเป็นของตัวเอง เช่น C#, Java, Javascript, PHP, Python เป็นต้น
  • Database จะแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ SQL และ noSQL แต่นอกจากการเลือก Database แล้ว ยังมีเรื่องของการออกแบบ Schema อีกด้วยว่าจะเก็บข้อมูลอย่างไร
  • Hosting Environment โดยจะมีหลักการตัดสินใจจากความสามารถในการขยายสเกล บริการเสริม ราคา และความสเถียร

สนใจปรึกษาด้านการสร้าง Mobile Application กับ Criclabs ต้องทำอย่างไร?

Criclabs เราเป็นบริษัทรับพัฒนาซอฟต์แวร์ให้ธุรกิจต่างๆ โดยเรามีบริการ Mobile Application และอีกมากมายให้กับท่าน ทั้ง บริการออกแบบและปรับแต่งเว็บไซต์เต็มรูปแบบ บริการวางแผนกลยุทธ์ด้านดิจิทัล บริการออกแบบ ux ให้ร้านค้าขนาดเล็ก และอีกหลากหลายบริการ หากคุณมีความสนใจเราสามารถมอบคำแนะนำ แนวทาง เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของคุณอย่างแน่นอนครับ